การมองเห็นสีและตาบอดสี

ศูนย์สายตา ไฮลักซ์ วิชั่น 

 

การมองเห็นสีและตาบอดสี

 

การมองเห็นสีต่าง ๆ (Color Vision) ได้นั้นเพราะจอประสาทตาของมนุษย์ดูดซึมคลื่นแสงต่าง ๆ เข้าสู่จอประสาทตาได้

แสงสว่างที่มนุษย์สัมผัสได้โดยประมาณอยู่ในช่วงแสงที่มีความถี่ของคลื่นแสงซึ่งที่มีความยาวคลื่นระหว่าง

4 × 10⁻⁷ ถึง 6.5 × 10⁻⁷ เมตร หรือ 400 - 750 หรือ 380 – 760 MU

 

ในกระบวนการที่มนุษย์มองเห็นนี้เป็นแสงสว่างซึ่งรวมอยู่ในแสงอาทิตย์ที่ส่องมายังโลกให้สว่างมองเห็น และเมื่อลำแสงผ่านปริซึม (หรือพวกแผ่นฟิล์มกันแสง) จะเกิดการหักเหของแสงและแยกแสงออกเป็นสีต่าง ๆ

แสงที่เห็นนั้นมีทั้งแสงปฐมภูมิและทุติยภูมิ (ดังรูปที่ 1) จะสามารถแยกแสงออกมาได้เป็น 7 สี ซึ่งมีความยาวคลื่นต่างกัน

 

แสงสีทั้ง 7 คือ

แดง, แสด, เหลือง, เขียว, น้ำเงิน, คราม, ม่วง

ถ้าหากความยาวคลื่นแสงยาวกว่านี้หรือสั้นกว่านี้ประสาทตามนุษย์รับไม่ได้ และเป็นแสงในคลื่นต่าง ๆ เหล่านี้ใช้ในแถบอุตสาหกรรม โดยเฉพาะแถบแสงใต้ม่านตา

 

การหักเหของแสง (Refraction) เราอาจพูดได้ว่า การหักเหของแสงมากน้อยนั้นขึ้นอยู่กับความถี่ของคลื่นแสง และอาจมีลักษณะทางกายภาพ สมบัติของวัตถุ หรือวัสดุที่มีค่าดัชนีการหักเหแสงที่แตกต่างกัน

 

แสงที่มีขนาดคลื่นแสงต่ำกว่าแสงสีแดงนั้นจะมีความยาวคลื่นแสงยาวกว่าสีแดง เช่น แสงใต้แดง (Infared Rays หรือ Dark heat rays)

แสงชนิดนี้ไม่จัดอยู่ในพวกแสงขาว เพราะจอประสาทตาของมนุษย์เราไม่สามารถแลเห็นได้ เรียกว่า รังสีใต้แดง (Infared Rays)

 

ในทางตรงกันข้าม แสงอีกประเภทหนึ่งซึ่งมีความยาวคลื่นสั้นกว่าแสงสีน้ำเงิน เรียกว่า รังสีเหนือม่วง (Ultra – Violet Rays หรือ Dark Chemical Rays)

 

อวัยวะที่เกี่ยวกับการมองเห็น

 

อวัยวะที่เกี่ยวกับการมองเห็น (Organ of Vision) ของร่างกายมนุษย์นั้น เมื่อสัมผัสกับแสงก็จะเกิดเป็นภาพ

การมองเห็นสีขึ้นอยู่กับระดับของพลังงานแสงที่มากระทบต่อเรตินา

ดังนั้นแสงที่มีความยาวคลื่นสั้น (Long Ultraviolet และ Short Infrared) จึงต้องมีสารเคมีป้องกัน เช่น เลนส์กัน UV

ชนิดที่นิยมเรียกว่า U.V.X. Lense

 

รังสีอุลตร้าไวโอเลตที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติคือ รังสีที่มากับแสงอาทิตย์

และรังสีอุลตร้าไวโอเลตที่เกิดจากการทำให้เกิดขึ้นเรียกว่า Artificial Ultraviolet Light ได้แก่

 

หลอดไฟไอของปรอท (Mercury Vapour)

 

หลอดไฟฟูออเรสเซนต์ (Fluorescente)

 

หลอดไฟคาร์บอนอาค (Carbon Arc)

 

หลอดตะเกียงก๊าซ

 

หลอดไส้ทังสเตน

 

หลอดไฟหลากสีที่มีรังสี UV

 

เครื่องฉายภาพบางชนิด

 

การผสมสี – หลัก Trichromatic Theory

 

เมื่อแสงสีต่าง ๆ ผสมกันเรียกว่า Trichromatic Matching

ในผู้ชายบางคนจะมีความบกพร่องในการแลเห็นสีประมาณ 2% และผู้ชายบางคนจะมีความบกพร่องในการแลเห็นได้ถึง 6%

ซึ่งส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับจอประสาทตาของมนุษย์ ซึ่งมี Photoreceptor ที่ทำหน้าที่รับแสงสีต่าง ๆ คือ Cone Cell 3 ชนิด ที่มี Pigment 3 สี คือ สีแดง สีเขียว และสีน้ำเงิน

แบ่งแยกกันอยู่ การที่คนเรามองเห็นสีแดงได้ แสดงว่าเซลล์ของจึงประกอบด้วย Pigment แดงที่ไวต่อแสงสีส้มในช่วง 700 – 760 NM

การแลเห็นสีอื่น ๆ จะเกิดจากการผสมของเซลล์รับแสงที่มี Pigment สีอื่น

 

หากมีความผิดปกติของ Cone Cell ใดก็จะทำให้แลเห็นสีผิดเพี้ยน เช่น มองเห็นสีผิด หรือเห็นน้อยลง

 

ตาบอดสี (Color Blind)

 

การมองเห็นสีต่าง ๆ นั้นเกิดจากการตอบสนองของ Cone Cell ต่อ Pigment แต่ถ้าเซลล์รับสีผิดปกติ หรือขาดไป จะส่งผลให้ไม่สามารถแยกสีได้

คนตาบอดสีสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ:

 

1. Acquired Defective Color Vision

 

เกิดเนื่องจากโรคของประสาทตาหรือจอรับภาพ เช่น

 

โรคจอรับภาพหลุดออก

 

โรคประสาทตาฝ่อ

 

2. Congenital Defective Color Vision

 

เป็นชนิดที่เป็นมาแต่กำเนิด แบ่งได้เป็น 3 ชนิด

 

ตาบอดสีแดง

 

ตาบอดสีเขียว

 

ตาบอดสี ทั้งสีเขียว และสีแดง

 

การที่ตาบอดสีใดสีหนึ่ง หรือแลเห็นสีหนึ่งน้อยลง จะทำให้มองเห็นผิดเพี้ยน เช่น เห็นแดงปนเหลือง หรือเขียวปนเทา

 

ตาบอดสีชนิด Congenital

 

ถ่ายทอดทางพันธุกรรมแบบ X-Linked Recessive

ทำให้ผู้ชายมีโอกาสตาบอดสีสูงกว่าผู้หญิง โดยผู้ชายตาบอดสี 3–5% ส่วนผู้หญิงพบประมาณ 0.5%

ชนิดที่พบได้บ่อย เช่น:

 

1. Protanomaly – ผิดปกติของ Red-Sensitive Cone (ตาบอดสีแดง)

 

2. Deuteranomaly – ผิดปกติของ Green-Sensitive Cone (ตาบอดสีเขียว)

 

3. Tritanomaly – ผิดปกติของ Blue-Sensitive Cone (ตาบอดสีน้ำเงิน)

 

ประเภทของตาบอดสีเพิ่มเติม

 

1. Dichromatism (มี Cone 2 ชนิด)

 

Protanopia (ตาบอดสีแดง)

 

Deuteranopia (ตาบอดสีเขียว)

 

Tritanopia (ตาบอดสีน้ำเงิน) – พบได้น้อยมาก

 

2. Monochromatism / Achromatopia

 

มี Cone Cell เพียงชนิดเดียว หรือไม่มีเลย

 

มักเห็นเพียงสีขาว-ดำ (Rod Monochromatism)

 

การทดสอบตาบอดสี

 

ใช้แผ่น Ishihara Plates ซึ่งเป็น Screening Test ที่นิยมที่สุด

 

ทดสอบง่าย ราคาถูก และแม่นยำสูง

 

ใช้แยกความผิดปกติของสีแดง/เขียว

 

มีวิธีทดสอบละเอียด เช่น Farnsworth Munsell 100 Hue, Anomaloscope

 

เรียบเรียงโดย …….ฝ่ายวิชาการ  วันเลือกตั้งงานแว่นตา ครั้งที่ 16

Visitors: 1,684