โรคจุดภาพชัดเสื่อม Macular Degeneration
ศูนย์สายตา ไฮลักซ์ วิชั่น
โรคจุดภาพชัดเสื่อม Macular Degeneration
ในช่วงที่ผ่านมา 2–3 ปี ได้มีการดูแลสุขภาพตาให้กับผู้สูงอายุเกี่ยวกับสุขภาพตาและสายตาเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการผ่าตัดต้อกระจกให้กับผู้สูงอายุตามชุมชนโดยสมาคมจักษุแพทย์ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข โครงการบริจาคแว่นตาและตรวจวัดสายตาให้กับผู้สูงอายุโดยสมาคมส่งเสริมวิชาการแว่นตาแห่งประเทศไทย เป็นต้น
เนื่องจากดวงตาเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญต่อมนุษย์ ผู้ที่สูญเสียการมองเห็นจะมีคุณภาพชีวิตที่ต่ำลง เปรียบเสมือนกับการใช้ชีวิตในโลกมืด แต่ในปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์ได้พัฒนาไปอย่างต่อเนื่องในโรคทางตา โดยเฉพาะในเรื่องของการผ่าตัดต้อกระจก ซึ่งสามารถผ่าตัดรักษาได้ง่าย อยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าโดยใช้วิธี Phacoemulsification ซึ่งเป็นวิธีการผ่าตัดที่ได้ผลดีและมีประสิทธิภาพ
โรคทางตาอีกหนึ่งโรคที่น่าจับตามอง คือ โรคจุดภาพชัดเสื่อม (Age-Related Macular Degeneration: AMD) ซึ่งเกิดจากความเสื่อมของจุดภาพชัดที่อยู่บริเวณตรงกลางของจอประสาทตา ส่งผลให้มีการมองเห็นผิดเพี้ยน หรือมองไม่เห็นภาพตรงกลาง
โรคจุดภาพชัดเสื่อมเกิดได้ 2 ชนิดคือ
1. โรคจุดภาพชัดเสื่อมที่เกิดแก่ผู้สูงอายุ
2. โรคจุดภาพชัดเสื่อมที่เกิดแก่ผู้ที่มีสายตาสั้นมากๆ ได้แก่ ผู้ที่มีสายตามากกว่า -6.00 ไดออปเตอร์ ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน เป็นต้น
ทั้งสองโรคนี้จะมีอาการใกล้เคียงกัน แต่มีพื้นฐานแตกต่างกัน
ระบาดวิทยาของโรค (Epidemic of Disease)
ในประเทศไทยจากการสำรวจพบว่า ระบาดวิทยาในประเทศไทยกับในประเทศอเมริกาแตกต่างกัน โดยในประเทศอเมริกาพบโรคนี้มากในคนอเมริกันที่มีอายุตั้งแต่ 65–74 ปี ขึ้นไป เนื่องจากประชากรในประเทศพัฒนาแล้วมักมีอายุยืนยาว และมีการวินิจฉัยโรคได้แม่นยำมากกว่าประเทศกำลังพัฒนา
ข้อมูลจากปี 2020 พบว่าในอเมริกามีผู้สูงอายุจำนวน 7.5 ล้านคนที่ต้องสูญเสียการมองเห็นจากโรคจุดภาพชัดเสื่อม และจะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอีก 167,000 คนต่อปี แม้โรคนี้ยังไม่มีวิธีการรักษาที่ได้ผล 100% แต่การรักษาด้วยวิธีธรรมชาติจะสามารถช่วยชะลอไม่ให้โรคลุกลามจนถึงขั้นตาบอดได้
สาเหตุ
สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคนี้มาจากความเสื่อมอย่างช้าๆ ของเซลล์ในแมคคูลา (Macula) ซึ่งเป็นบริเวณจุดภาพชัดที่อยู่บริเวณตรงกลางของเรตินา (จอประสาทตา) บริเวณนี้ทำหน้าที่รวมแสงเพื่อการมองเห็นภาพชัด ซึ่งเป็นส่วนที่ใช้ในการอ่าน เขียน ขับรถ และแยกแยะใบหน้าคน
เมื่อเซลล์แมคคูลาเสื่อม จะทำให้การมองเห็นบกพร่องโดยเฉพาะบริเวณตรงกลางของการมองเห็น รูปร่างจะบิดเบี้ยวหรือพร่ามัว บางครั้งอาจเห็นจุดดำกลางภาพ และอาจถึงขั้นตาบอดได้หากไม่มีการวินิจฉัยหรือรักษาแต่เนิ่นๆ
ปัจจัยเสี่ยง
อายุ (พบมากในคนอายุ 50 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะ 65 ปีขึ้นไป)
พันธุกรรม
การสูบบุหรี่
โรคอ้วน
ขาดสารอาหาร
การรับแสงยูวีมากเกินไป
การรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์
อาการ (Symptom)
อาการของผู้ป่วยคือ มองเห็นภาพบิดเบี้ยว เส้นตรงกลายเป็นเส้นโค้ง มองเห็นแสงจ้าหรือภาพสีผิดเพี้ยน โดยเฉพาะบริเวณตรงกลางภาพ หากไม่รีบตรวจวินิจฉัยและรักษา อาจทำให้สูญเสียการมองเห็นถาวรได้
การวินิจฉัย
1. ตรวจโดยใช้แผ่นตรวจตาราง Amsler Grid เพื่อดูความผิดปกติของภาพตรงกลาง
2. ตรวจโดยใช้เครื่องถ่ายภาพจอประสาทตา
3. ตรวจการงอกของหลอดเลือดใหม่ที่ใต้จอประสาทตา (Neovascularization)
วิธีการใช้ Amsler Grid
ให้อ่านตารางที่เห็นเป็นระยะห่างเท่ากับการอ่านหนังสือ โดยสวมแว่นสายตาตามปกติ ปิดตาทีละข้าง จ้องมองจุดกลางภาพ หากมองเห็นเส้นบิดเบี้ยว มีเงาดำ หรือเห็นคลื่น ควรไปพบจักษุแพทย์ทันที
การรักษาในอดีตและปัจจุบัน
โรคนี้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่สามารถชะลอความรุนแรงของโรคได้โดยการรักษาที่เหมาะสม เช่น การฉีดยาในลูกตาเพื่อยับยั้งการสร้างหลอดเลือดใหม่ที่ผิดปกติใต้จอภาพชัด
การใช้เลเซอร์ในกรณีที่มีเลือดออกใต้จุดภาพชัด (แมคคูลา)
การผ่าตัดหรือรักษาด้วยยารักษาเฉพาะทางที่ช่วยชะลอการลุกลาม
ข้อควรปฏิบัติ
1. มีความเข้าใจในโรคนี้ และปฏิบัติตามแพทย์อย่างเคร่งครัด
2. หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด และควรสวมแว่นกันแดดที่มีคุณสมบัติป้องกัน UV
3. รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น ผักใบเขียว แครอท มะเขือเทศ และปลาทะเลน้ำลึก
4. หลีกเลี่ยงบุหรี่ และควบคุมโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง