รวมเรื่องเลนส์

 

ศูนย์สายตาไฮลักซ์ วิชั่น 

 

เลนส์ชั้นเดียว (Single Vision Lenses)  

  เลนส์ชั้นเดียว คือเลนส์ที่มีค่าสายตาเดียวตลอดทั้งแผ่นเลนส์ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสายตาเพียงระยะเดียว เช่น สายตาสั้น, สายตายาว, หรือสายตาเอียง โดยเป็นเลนส์ที่ใช้งานง่าย ปรับตัวเร็ว และมีราคาย่อมเยากว่าเลนส์ชนิดอื่น    คุณสมบัติเด่นของเลนส์ชั้นเดียว 1. ชัดเจนในระยะเดียว มองได้ชัดในระยะที่กำหนด เช่น มองไกล (ขับรถ) หรือมองใกล้ (อ่านหนังสือ) 2. ใส่ง่าย ปรับตัวเร็ว ไม่มีการเปลี่ยนระดับโฟกัส จึงใส่ง่ายโดยไม่เวียนหัว 3. บางและเบา เลนส์รุ่นใหม่ใช้วัสดุ high-index หรือ aspheric ลดความหนาและน้ำหนัก 4. เหมาะกับทุกเพศทุกวัยใช้ได้ทั้งเด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุที่มีสายตาระยะเดียว 5. สามารถปรับแต่งเฉพาะบุคคลได้ เลือกวัสดุ เคลือบผิว และคุณสมบัติเสริมได้ตามการใช้งาน เทคโนโลยีและวัสดุที่นิยมใช้ CR-39 – พลาสติกมาตรฐาน คุณภาพดี น้ำหนักเบา ราคาประหยัด  Polycarbonate  แข็งแรง ทนแรงกระแทก เหมาะกับเด็กหรือกีฬา High-Index (1.60 / 1.67 / 1.74) – สำหรับค่าสายตาสูง เลนส์บางพิเศษ Aspheric / Atoric Design – ลดภาพบิดเบือน บางลง เห็นธรรมชาติมากขึ้น Blue Light Filter  กรองแสงสีฟ้า ป้องกันดวงตาจากจอคอมและมือถือ UV Protection – เคลือบป้องกัน 

 

  BLULOC วัสดุเลนส์ที่ปกป้องดวงตาแสงสีฟ้าและคลื่นแสงพลังงานสูง HEV ได้ถึง 95% (วัดค่าส่งผ่านแสงที่ 420 นาโนเมตร) และรังสี UVA , UVB ได้ 100% ซึ่งเป็นอันตรายต่อดวงตาที่มาจากแหล่งกำเนิดแสงจากดวงอาทิตย์หลอดไฟ LED และหน้าจอดิจิตอลการได้รับคลื่นแสงดังกล่าวโดยเฉพาะการใช้เวลากับหน้าจอมือถือและคอมพิวเตอร์ที่มากขึ้นในแต่ละวันส่งผลให้เกิดภาวะ ตาแห้งตาพร่ามัวรู้สึกเครียดและคลื่นแสงนี้ยังสามารถทำลายสารลูทีนในดวงตาอาจส่งผลให้จอประสาทอักเสบต้อกระจกและเป็นจุดเริ่มต้นของโรคจอประสาทตาเสื่อม 

 

Transitions – เลนส์เปลี่ยนสีอัตโนมัติ    เลนส์เปลี่ยนสีอัตโนมัติที่ปรับตามความเข้มแสงที่เปลี่ยนไป โดยเลนส์ Transitions จะเปลี่ยนสีเข้มขึ้นเมื่ออยู่กลางแจ้ง และกลับมาใสเมื่ออยู่ในร่ม  

เลนส์เปลี่ยนสีอัตโนมัติ  Auto Lens

1. เลนส์เปลี่ยนสี (Photochromic Lens) หลักการทางวิทยาศาสตร์ : เลนส์ชนิดนี้ผลิตด้วยสารเคมี “photochromic molecules” (ส่วนใหญ่เป็น oxazines หรือ naphthopyrans) ที่ตอบสนองต่อรังสียูวีจากแสงแดด โดยจะเกิดปฏิกิริยาเคมีเปลี่ยนโครงสร้าง ทำให้เลนส์มีสีเข้มขึ้นอัตโนมัติเมื่อโดนแสง UV และจะค่อยๆ กลับมาใสเมื่อกลับเข้าสู่ที่ร่ม

 

ข้อดีสำหรับผู้ใช้งาน : ตัดแสง UV และแสงจ้าโดยไม่ต้องเปลี่ยนแว่น ปรับเข้ม–ใสตามสภาพแสงจริง ลดอาการล้าตาเมื่ออยู่กลางแจ้ง สะดวกทั้งในอาคารและกลางแจ้ง โดยไม่ต้องพกแว่นหลายอัน

 

 2. มัลติโค้ต (Multicoated Lens) หลักการทางวิทยาศาสตร์ : เลนส์มัลติโค้ตผ่านการเคลือบสารหลายชั้น เช่น anti-reflective (AR), hydrophobic (กันน้ำ), oleophobic (กันรอยนิ้วมือ) และ scratch-resistant (กันรอยขีดข่วน) ซึ่งช่วยลดการสะท้อนของแสงที่พื้นผิวเลนส์และเพิ่มความคมชัดของภาพ

 

ประโยชน์เด่น : ลดแสงสะท้อนจากไฟ แดด หน้าจอ ภาพชัดขึ้น คอนทราสต์ดีขึ้น ลดแสงกระพริบจากไฟหน้ารถตอนกลางคืน ป้องกันคราบและรอยได้ดีกว่าเลนส์ทั่วไป

 

3. UVX – Ultra UV Protection (ระดับสูงกว่าทั่วไป) หลักการทางวิทยาศาสตร์ : รังสี UV มี 2 ช่วงสำคัญที่ทำลายตา : UVA (315–400 nm): ทะลุถึงจอประสาทตา UVB (280–315 nm): ทำลายกระจกตาและเลนส์ตา เลนส์ทั่วไปอาจกันได้ถึงแค่ 380–400 nm แต่ UVX ออกแบบให้ ป้องกันได้สูงถึง 420 nm รวมถึงแสงสีฟ้า (Blue Light) ที่ทะลุได้ลึกและเร่งความเสื่อมของจอประสาทตา ผลลัพธ์สำหรับผู้สวมใส่ : ลดความเสี่ยงต้อกระจก ต้อเนื้อ ชะลอจอประสาทตาเสื่อม ปกป้องเซลล์ดวงตาในระดับจุลภาค ปลอดภัยแม้เจอแดดแรงระดับกลางแจ้งในเมืองไทย                   

 

Bifocal lens  เลนส์สองชั้น

 เลนส์สองชั้นมัลติโค้ต (Bifocal Multicoated Lens) มองใกล้–ไกลชัดในแว่นเดียว พร้อมเคลือบพิเศษให้สบายตายิ่งขึ้น

 1. เลนส์สองชั้น (Bifocal Lens) วิชาการแบบเข้าใจง่าย : เลนส์ Bifocal คือเลนส์ที่มี “2 ค่ากำลังสายตา” ในเลนส์เดียว

ส่วนบน : สำหรับมองไกล เช่น ขับรถ ดูทีวี

ส่วนล่าง : สำหรับมองใกล้ เช่น อ่านหนังสือ ดูมือถือ

หลักการ : ภาวะสายตายาวตามอายุ (Presbyopia) เกิดจากเลนส์ตาเสื่อมความยืดหยุ่นตามวัย ทำให้โฟกัสใกล้ได้ยาก เลนส์สองชั้นถูกออกแบบมาให้ช่วย “สลับการมอง” ระหว่างใกล้–ไกลได้ทันทีโดยไม่ต้องถอดแว่น

 ข้อดีสำหรับผู้ใช้ : แว่นเดียวใช้งานได้ทั้งวัน เหมาะกับวัย 40 ปีขึ้นไปที่เริ่มมีปัญหาสายตายาว ใช้ง่าย เคยชินไวกว่าพวกเลนส์โปรเกรสซีฟ

 2. มัลติโค้ต (Multicoated Technology) วิชาการแบบเข้าใจง่าย : มัลติโค้ต คือการเคลือบผิวเลนส์ด้วยสารพิเศษหลายชั้น เพื่อเพิ่มความทนทานและความชัดของภาพ ซึ่งประกอบด้วย:

ประเภทการเคลือบ ประโยชน์

Anti-Reflective (AR) ลดแสงสะท้อนจากไฟจ้า–หน้าจอ Hard Coating ป้องกันรอยขีดข่วนพื้นผิว Hydrophobic กันน้ำ–กันฝ้า เลนส์ใสไม่มัว Oleophobic ป้องกันคราบมัน/รอยนิ้วมือ

ผลลัพธ์เมื่อใช้งานจริง มองภาพชัดขึ้น คมชัดกว่าปกติ ลดการแสบตาจากแสงสะท้อน  ทำความสะอาดง่าย อายุเลนส์ยาวนาน                   

 

 

 เลนส์โปรเกรสซีฟฟรีฟรอม progressive lenses Rodenstock TOG Tokai HOYA  Essilor Seiko ฯ

 

 

 เลนส์ Progressive Freeform  Multicoat

 มองชัดทุกระยะ สบายตาทุกวัน พร้อมเทคโนโลยีล้ำหน้าเพื่อดวงตาคุณ”

1. เลนส์โปรเกรสซีฟ (Progressive Lens) เลนส์โปรเกรสซีฟเป็นเลนส์ที่รวม “หลายค่าสายตา” ไว้ในชิ้นเดียว โดย ไล่ค่ากำลังจากบนถึงล่าง ของเลนส์แบบไม่มีเส้นตัด

 ด้านบน: สำหรับมองไกล             กลางเลนส์: สำหรับระยะกลาง เช่น คอมพิวเตอร์           ด้านล่าง: สำหรับมองใกล้ เช่น อ่านหนังสือ

 

 ประโยชน์ : ไม่ต้องถอดแว่นหรือพกหลายอัน ไม่มีรอยเส้นแยก (เหมือนเลนส์สองชั้น) จึงดูทันสมัย เหมาะกับคนทำงาน ใช้สายตาหลากหลายระยะในแต่ละวัน

2. เทคโนโลยี Freeform   คือเทคโนโลยีการเจียรเลนส์แบบ ความละเอียดสูงระดับนาโนเมตร โดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์ 3D ปรับแต่งผิวเลนส์ให้เหมาะกับ

 ค่าสายตาแต่ละข้าง ระยะลูกตา (PD) ความโค้งของกรอบแว่น ท่านั่ง ท่ายืน และมุมมองของผู้สวมใส่จริง ผลลัพธ์เมื่อใช้งาน :  เพิ่มความแม่นยำและคมชัดของภาพ ลดอาการวิงเวียนหรือ “โยก” เวลาเปลี่ยนทิศสายตา ใช้เวลาปรับตัวน้อยกว่าเลนส์โปรเกรสซีฟทั่วไป

 

3. มัลติโค้ต (Multicoated Lens)  เคลือบพิเศษ 4–6 ชั้น เพื่อการปกป้องและสบายตาสูงสุด : ชั้นเคลือบ คุณสมบัติ Anti-Reflective ลดแสงสะท้อนจากจอไฟแดดจ้า Hard Coating กันรอยขีดข่วน เพิ่มอายุเลนส์  Hydrophobic กันน้ำ/ฝ้า มองชัดแม้ฝนตกหรืออากาศชื้น  Oleophobic กันรอยนิ้วมือ ทำความสะอาดง่าย

 ประโยชน์ที่ลูกค้ารู้สึกได้ : มองชัดใสกว่าเลนส์ธรรมดา ถนอมสายตาจากแสงจ้าและจอมือถือ ดูแลง่าย ใส่สบายทั้งวัน 

 

     เลนส์ Freeform Progressive คืออะไร  ต่างจากเลนส์โปรเกรสซีฟทั่วไปอย่างไร 

เมื่ออายุเพิ่มขึ้น หลายคนต้องการเลนส์ที่สามารถมองได้หลายระยะในแว่นตาเดียว  นั่นคือที่มาของ “เลนส์โปรเกรสซีฟ” ซึ่งช่วยให้ผู้สวมใส่สามารถมองใกล้ กลาง และไกลได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องเปลี่ยนแว่น แต่ในยุคที่เทคโนโลยีการผลิตเลนส์พัฒนาไปไกลยิ่งขึ้น 

 “เลนส์ Freeform Progressive” จึงถูกคิดค้นขึ้น เพื่อยกระดับการมองเห็นให้ ชัดกว่า แม่นกว่า และสบายตากว่า เลนส์โปรเกรสซีฟแบบดั้งเดิม

    เลนส์ Freeform Progressive คืออะไร?

เลนส์ Freeform คือเลนส์ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี Digital Surfacing (การเจียรผิวเลนส์แบบความละเอียดสูงระดับนาโน) โดยมีการออกแบบเฉพาะตามค่าสายตาของแต่ละบุคคล

จุดเด่น: ค่าความโค้งของเลนส์ถูกคำนวณจากตำแหน่งการสวมใส่จริง (Personalized) ลดความบิดเบือนรอบขอบเลนส์ ปรับระยะมองใกล้–กลาง–ไกล ได้ลื่นไหลและแม่นยำกว่า เหมาะกับผู้มีค่าสายตาสูงหรือมีความต่างของตา 2 ข้าง 

 

        เปรียบเทียบกับเลนส์โปรเกรสซีฟทั่วไป

 

รายการ Progressive ทั่วไป            Freeform Progressive

เทคโนโลยี เจียรแบบมาตรฐาน        เจียรด้วยระบบดิจิทัล 3D

ความแม่นยำ รูปแบบสำเร็จ            ปรับเฉพาะรายบุคคล

ความสบายตา ดีในระดับทั่วไป        ดีเยี่ยม ลื่นไหลกว่า

ปรับตัว ปานกลาง                           ปรับตัวได้ง่ายกว่า เหมาะกับมือใหม่

ราคา ย่อมเยา                                 สูงกว่าเล็กน้อย แต่คุ้มค่า 

 

 

   เหมาะกับใคร

ผู้ที่เริ่มใช้เลนส์โปรเกรสซีฟเป็นครั้งแรก ผู้ที่มีค่าสายตาสูง หรือสายตาไม่เท่ากันผู้ที่เคยใส่เลนส์โปรเกรสซีฟแล้วเวียนหัว ปรับตัวไม่ได้คนทำงานหน้าคอม ใช้สายตาหลายระยะในแต่ละวัน

สรุปเลนส์ Freeform Progressive คือการอัปเกรดเลนส์โปรเกรสซีฟแบบดั้งเดิมให้ “แม่นยำ ชัดเจน ลื่นไหล” และ “ใส่สบายกว่าเดิม” เหมาะสำหรับคนยุคใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพสายตาและคุณภาพชีวิตในทุกมิติ 

 

 

    การฝึกกล้ามเนื้อตาด้วยตนเอง

 

การฝึกกล้ามเนื้อตาด้วยวิธีง่าย ๆ

 

เมื่อท่านทราบว่ากำลังมีอาการกล้ามเนื้อตาล้า หรือกล้ามเนื้อตาอ่อนกำลัง (Convergence Insufficiency) ท่านสามารถทำให้กล้ามเนื้อตากลับสู่สภาพปกติ หรือทำให้อาการปวดตาไม่สบายตาหายไปได้ด้วยตนเอง โดยวิธีง่าย ๆ ดังนี้:

 

เตรียมอุปกรณ์ที่ใช้ในการฝึก เช่น ไฟฉายเล็ก ๆ แบบแท่งดินสอ 1 อัน หรือใช้ไม่จิ้มฟัน ไม้จิ้มสลัด หรือปากกา 1 ด้าม

 

   ขั้นตอนฝึก

 

1. ให้ผู้ฝึกนั่งในท่าที่สบาย ถือไฟฉายหรือปากกาที่เตรียมไว้ แล้วยื่นแขนออกไปให้แขนเหยียดสุด โดยให้ไฟฉายหรือปลายอุปกรณ์นั้นตั้งฉากกับจมูก พอประมาณ

 

 

2. ใช้จุดไฟฉาย หรือปลายอุปกรณ์เป็นจุดรวมสายตาทั้งสองข้าง โดยจะต้องเห็นจุดไฟ หรือปลายดินสอเป็นเพียง 1 จุดเดียว ไม่มีภาพซ้อนหรือเบลอ เพื่อให้เกิดภาพชัด ให้ค่อย ๆ ขยับจ่ออก และจ่อเข้าใหม่

 

พยายามมองให้เห็นไฟเป็น 1 ดวง

 

1. เมื่อเริ่มฝึก มองตรงไปที่จุดไฟ หรือจุดที่อยู่ปลายปากกา เพื่อจะได้สังเกตเห็นความแตกต่างระหว่างจุดตั้งต้นกับระยะที่ไฟเลื่อนเข้ามา

 

2. ค่อย ๆ เลื่อนมือข้างเดียวเข้าหาตัว จนกระทั่งเมื่อใดที่เห็นดวงไฟหรือปลายปากกาแยกเป็น 2 จุด หรือเริ่มมองไม่ชัด เช่น จุดเริ่มต้นให้ค่อยถอยกลับไปตั้งต้นใหม่ ให้เห็นชัดที่ระยะเดิมจนชินแล้วจึงเพิ่มระยะ

 

 

3. ฝึกซ้ำข้างละ 1–4 ประมาณ 20 ครั้ง แล้วจึงหยุดฝึก

 

   วิธีฝึกให้ได้ผล

 

1. ฝึกวันละ 3 รอบ รอบละ 20 ครั้ง รวมเป็นวันละ 60 ครั้ง

 

2. ฝึกอย่างสม่ำเสมอ ให้เหมาะสมกับกำลังของกล้ามเนื้อ

 

3. หลังจากฝึกอย่างน้อย 3 อาทิตย์ ให้กลับมาตรวจดูผลกับจักษุแพทย์

 

   หมายเหตุ:

 

การฝึกกล้ามเนื้อตาด้วยตนเอง โดยวิธีง่าย ๆ จะได้ผลดีเมื่อมีการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องทุกวันครบครั้ง ทำตามขั้นตอนโดยมีเป้าหมายชัดเจนของการฝึกอย่างสม่ำเสมอ ก่อนกลับมาตรวจประเมินผลกับจักษุแพทย์อีกครั้ง

 

 

บริษัท ไฮลักซ์ ออพติคอล โมบาย จำกัด

ให้บริการทั่วประเทศ พร้อมอุปกรณ์ครบชุด

โทร  :  02 8044116 , 086 7592133 , 081 84906000 

อีเมล  : hiluxopticall@hotmail.com 

เว็บไซต์  https://hiluxvision.com

ผู้ประสานงาน  : [ คุณ ปริ้น , คุณ พัศ ]

 

 สมาชิก สมาคมส่งเสริมวิชาการแว่นตาแห่งประเทศไทย

รายการล่าสุดที่คุณดู
Visitors: 1,684